
นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังยึดหลักการที่ว่า “อย่ามองของเสียเป็นเพียงขยะ เพราะมันมีพลังงานแฝงอยู่” ดังนั้น จึงนำน้ำร้อนที่ได้จากชุดแลกเปลี่ยนความร้อน (Economizer) จากปล่องไอเสียของหม้อไอน้ำที่อุณหภูมิ 210oC มาแลกเปลี่ยนกับน้ำที่อุณหภูมิปกติ (30oC) ให้สูงขึ้นเป็น 60oC นั้น สามารถผลิตน้ำร้อนได้ 10,000,000 ลิตร/ปี รวมปริมาณน้ำร้อนที่ผลิตได้ทั้ง 2 ระบบ คิดเป็น 30,000,000 ลิตร/ปี โดยปริมาณน้ำร้อนทั้งหมดนี้จะนำไปใช้เป็นน้ำป้อนเข้าหม้อไอน้ำในกระบวนการผลิต
โครงการนี้สามารถลดการนำเข้าน้ำมันเตาที่เคยใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไอน้ำได้ถึง 146,283 ลิตร/ปี คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่าปีละ 2.7 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 432 ตันคาร์บอนไดออกไซด์/ปี หรือเทียบเท่าการปลูกป่า 2.4 ไร่ เลยทีเดียว
ทั้งนี้ โรงงานแปรรูปเนื้อไก่มีนบุรีของซีพีเอฟ ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทฯ ตัวแทนของประเทศไทยในการเข้าร่วม โครงการบัญชีบริหารสิ่งแวดล้อม (Environments Management Accounting: EMA) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยวิธีนำข้อมูลทางด้านบัญชีมาวิเคราะห์ขบวนการ เพื่อหาจุด Hot Spot หรือจุดที่มีการใช้พลังงานสูง แล้วนำมาจัดทำโครงการเพื่อลดการใช้พลังงานต่าง ๆ ภายในบริษัทต่อไป ซึ่งนับเป็นวิธีที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศแถบยุโรป โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนจากมหาวิทยาลัย Luenburg ประเทศ Germany เข้ามาเป็นที่ปรึกษาโครงการ ภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลเยอรมันผ่านทาง Asian Society For Environmental Protection (ASEP) และโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนส่วนหนึ่ง จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน.