ระบบการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร สามารถนำนวัตกรรมการประหยัดพลังงานและนำพลังงานความร้อนที่เหลือนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ในกระบวนการเลี้ยงไก่ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้นำ “โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสาน” อีกหนึ่งพลังงานสะอาดที่ซีพีเอฟประสบความสำเร็จในการช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก “โครงการผลิตน้ำร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสาน” เป็นโครงการอนุรักษ์พลังงานที่ใช้ความร้อนจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Collector) และความร้อนจากชุดแลกเปลี่ยนความร้อน (Economizer) มาผสมผสานการทำงานกัน สำหรับผลิตน้ำร้อนป้อนเข้าหม้อไอน้ำทดแทนการใช้น้ำมันเตา วิธีการก็คือ การนำน้ำอุณหภูมิปกติ (30oC) มาทำให้ร้อนขึ้นเป็น 60oC ด้วยวิธีแลกเปลี่ยนความร้อนจากแสงอาทิตย์ ผ่านชุด Solar Collector จำนวน 195 แผง มีพื้นที่ในการรับแสง 2.56 ตารางเมตร/แผง คิดเป็นพื้นที่รับแสงรวม 499.2 ตารางเมตร จะทำให้ได้น้ำร้อนที่ผลิตจากชุด Solar Collector ประมาณ 20,000,000 ลิตรต่อปี
นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังยึดหลักการที่ว่า “อย่ามองของเสียเป็นเพียงขยะ เพราะมันมีพลังงานแฝงอยู่” ดังนั้น จึงนำน้ำร้อนที่ได้จากชุดแลกเปลี่ยนความร้อน (Economizer) จากปล่องไอเสียของหม้อไอน้ำที่อุณหภูมิ 210oC มาแลกเปลี่ยนกับน้ำที่อุณหภูมิปกติ (30oC) ให้สูงขึ้นเป็น 60oC นั้น สามารถผลิตน้ำร้อนได้ 10,000,000 ลิตร/ปี รวมปริมาณน้ำร้อนที่ผลิตได้ทั้ง 2 ระบบ คิดเป็น 30,000,000 ลิตร/ปี โดยปริมาณน้ำร้อนทั้งหมดนี้จะนำไปใช้เป็นน้ำป้อนเข้าหม้อไอน้ำในกระบวนการผลิต
โครงการนี้สามารถลดการนำเข้าน้ำมันเตาที่เคยใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไอน้ำได้ถึง 146,283 ลิตร/ปี คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่าปีละ 2.7 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 432 ตันคาร์บอนไดออกไซด์/ปี หรือเทียบเท่าการปลูกป่า 2.4 ไร่ เลยทีเดียว
ทั้งนี้ โรงงานแปรรูปเนื้อไก่มีนบุรีของซีพีเอฟ ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทฯ ตัวแทนของประเทศไทยในการเข้าร่วม โครงการบัญชีบริหารสิ่งแวดล้อม (Environments Management Accounting: EMA) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยวิธีนำข้อมูลทางด้านบัญชีมาวิเคราะห์ขบวนการ เพื่อหาจุด Hot Spot หรือจุดที่มีการใช้พลังงานสูง แล้วนำมาจัดทำโครงการเพื่อลดการใช้พลังงานต่าง ๆ ภายในบริษัทต่อไป ซึ่งนับเป็นวิธีที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศแถบยุโรป โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนจากมหาวิทยาลัย Luenburg ประเทศ Germany เข้ามาเป็นที่ปรึกษาโครงการ ภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลเยอรมันผ่านทาง Asian Society For Environmental Protection (ASEP) และโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนส่วนหนึ่ง จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน.
นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังยึดหลักการที่ว่า “อย่ามองของเสียเป็นเพียงขยะ เพราะมันมีพลังงานแฝงอยู่” ดังนั้น จึงนำน้ำร้อนที่ได้จากชุดแลกเปลี่ยนความร้อน (Economizer) จากปล่องไอเสียของหม้อไอน้ำที่อุณหภูมิ 210oC มาแลกเปลี่ยนกับน้ำที่อุณหภูมิปกติ (30oC) ให้สูงขึ้นเป็น 60oC นั้น สามารถผลิตน้ำร้อนได้ 10,000,000 ลิตร/ปี รวมปริมาณน้ำร้อนที่ผลิตได้ทั้ง 2 ระบบ คิดเป็น 30,000,000 ลิตร/ปี โดยปริมาณน้ำร้อนทั้งหมดนี้จะนำไปใช้เป็นน้ำป้อนเข้าหม้อไอน้ำในกระบวนการผลิต
โครงการนี้สามารถลดการนำเข้าน้ำมันเตาที่เคยใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไอน้ำได้ถึง 146,283 ลิตร/ปี คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่าปีละ 2.7 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 432 ตันคาร์บอนไดออกไซด์/ปี หรือเทียบเท่าการปลูกป่า 2.4 ไร่ เลยทีเดียว
ทั้งนี้ โรงงานแปรรูปเนื้อไก่มีนบุรีของซีพีเอฟ ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทฯ ตัวแทนของประเทศไทยในการเข้าร่วม โครงการบัญชีบริหารสิ่งแวดล้อม (Environments Management Accounting: EMA) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยวิธีนำข้อมูลทางด้านบัญชีมาวิเคราะห์ขบวนการ เพื่อหาจุด Hot Spot หรือจุดที่มีการใช้พลังงานสูง แล้วนำมาจัดทำโครงการเพื่อลดการใช้พลังงานต่าง ๆ ภายในบริษัทต่อไป ซึ่งนับเป็นวิธีที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศแถบยุโรป โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนจากมหาวิทยาลัย Luenburg ประเทศ Germany เข้ามาเป็นที่ปรึกษาโครงการ ภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลเยอรมันผ่านทาง Asian Society For Environmental Protection (ASEP) และโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนส่วนหนึ่ง จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน.