โลกร้อน! เราเย็นได้ หากใช้วิธีจัดการน้ำที่ยั่งยืน
การที่มีแนวโน้มว่าภูมิอากาศจะเปลี่ยนแปลงรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการที่โลกเรามีประชากรมากขึ้น เมืองขยายมากขึ้น และมีการพัฒนาอุตสาหกรรมมากขึ้น ส่งผลให้ผู้คนใช้ทรัพยากรธรรมชาติกันมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ “น้ำ” ซึ่งสำคัญต่อการดำรงชีวิตและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ รวมไปถึงการช่วยหล่อเลี้ยงระบบนิเวศธรรมชาติก็เพิ่มขึ้นจนเกิดปัญหา
ประเด็นน่าสนใจที่ตามมาก็คือ เมื่อการเปลี่ยนแปลงทั้งสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนแปลงเชิงเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต ได้กลายเป็นแรงขับดันและความท้าทายที่ทำให้ต้องปรับตัวเรื่องการจัดการทรัพยากรน้ำ เราจะทำอย่างไรดีจึงจะจัดการได้อย่างยั่งยืน
จากรายงานขององค์การสหประชาชาติเรื่องการพัฒนาน้ำของโลก (The United Nations World Water Development Report 2015) ตามแนวคิด “น้ำเพื่อโลกที่ยั่งยืน” สรุปได้ว่า ปัจจุบันโลกของเรามีการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืนโดยต้องการใช้น้ำมากขึ้น คาดการณ์ได้ว่าใน ค.ศ.2030 จะมีปัญหาการขาดแคลนน้ำประมาณร้อยละ 40 ในบางพื้นที่ หากยังพัฒนากันไปแบบปกติเหมือนในอดีต ทั้งนี้ ได้นำเสนอ “น้ำกับการพัฒนาที่ยั่งยืน” ไว้ใน 3 มิติ คือ การจัดการน้ำเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ การให้ความสำคัญแก่ระบบนิเวศซึ่งช่วยให้เกิดการบริการน้ำที่ดีเพื่อสิ่งแวดล้อม และการเข้าถึงแหล่งน้ำที่ปลอดภัยเท่าเทียมกันทุกคน
สำหรับประเทศไทยในอนาคต การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศมีแนวโน้มจะทำให้ปริมาณฝนไม่แน่นอน การกระจายตัวของฝนด้านพื้นที่และห้วงเวลาก็ไม่แน่นอน จึงจำเป็นต้องปรับการจัดการน้ำตั้งแต่ปัจจุบันให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในอนาคต นอกจากนี้ การพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจที่เปลี่ยนจากเกษตรกรรมไปสู่อุตสาหกรรม ยังมีส่วนพัฒนาการวางแผนการใช้และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพได้อีกทางหนึ่งด้วย
อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ได้เสนอให้บริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ เป็นกรอบการประเมินความเปราะบางและการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผู้นำมาแลกเปลี่ยนความรู้ รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลสภาพภูมิอากาศในอนาคตด้วย ใช้กลยุทธ์และภาพฉายต่าง ๆ โดยมีการบริหารความเสี่ยงภายใต้ความเปราะบางนั้น เพื่อให้ได้แผนพัฒนาที่ทนทาน ยั่งยืน และปรับตัวได้
การบูรณาการประเด็นการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศลงในยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ด้านการจัดการน้ำ ซึ่งรวมไปถึงการจัดการภัยพิบัติจากน้ำ เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่น่าสนใจ มาตรการเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำเริ่มโดยจัดหาแหล่งน้ำต้นทุนให้พอใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ คุณภาพน้ำดีและปลอดภัย ใช้ประโยชน์ที่ดินให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศ รวมถึงมีกฎหมายควบคุมการบุกรุกทางน้ำและปรับปรุงแหล่งน้ำที่เสื่อมสภาพ ที่สำคัญคือ การส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและความเข้มแข็งของประชาชน เพื่อให้ปรับตัวและจัดการความเสี่ยงจากอุทกภัยได้ดี ทั้งนี้ ต้องมีแนวทางลดการใช้น้ำ แต่เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำด้วย เช่น การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ (Water recycling) เป็นต้น
นอกจากนี้ การพัฒนาและบริหารจัดการน้ำบาดาลยังเกี่ยวข้องกับความมั่นคงด้านน้ำของประเทศไทย โดยหากใช้อย่างเหมาะสมก็จะมีแหล่งน้ำเพียงพอสำหรับอนาคต ขณะนี้ยังมีข้อมูลจากการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องไม่มากนัก จึงจำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติม รวมไปถึงการจัดกระบวนการเติมน้ำใต้ดิน เพื่อให้เตรียมการพัฒนาอย่างเหมาะสมถูกต้องในการลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นคงด้านน้ำในอนาคต
จะเห็นได้ว่า การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้วยวิธีจัดการน้ำที่ยั่งยืนนั้น จะต้องอาศัยองค์กรระดับชาติกำหนดนโยบายและวางแผนการพัฒนา ร่วมกับการประสานความร่วมมือจากท้องถิ่น โดยเฉพาะประชาชนทุกคนที่จะต้องพร้อมปรับตัว
อนึ่ง การพัฒนาทรัพยากรน้ำโดยมีความเสี่ยง ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ รอบด้าน ทั้งทางกายภาพ การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งยังต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้ผลการพัฒนานั้นยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
อ้างอิง : พงษ์ศักดิ์ สุทธินนท์ และ โพยม สราภิรมย์, 2559: การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในบริบทของการจัดการน้ำที่ยั่งยืน. ใน: รายงานการสังเคราะห์และประมวลสถานภาพองค์ความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 2: องค์ความรู้ด้านความเสี่ยงและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ. คณะทำงานกลุ่มที่ 2 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย [อำนาจ ชิดไธสง, ปริเวท วรรณโกวิท, มัทนพรรณ จิ๋วเจียม, อัศมน ลิ่มสกุล, ศุภกร ชินวรรโณ และชโลทร แก่นสันติสุขมงคล (บรรณาธิการ)]
Photo by The Nation