ท่ามกลางวิกฤติเชื้อโควิด-19 ระบาดรุนแรง จนทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดอันดับหนึ่งโลก ด้วยจำนวนกว่า 6.3 ล้านราย จนถึงวันที่ 11 ก.ย. แต่แล้ว ประชาชนในหลายรัฐทางชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก ทั้งแคลิฟอร์เนีย โอเรกอน และวอชิงตัน ต้องเผชิญกับมหันตภัยไฟป่าครั้งใหญ่ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมืองหลายเมืองถูกไฟป่าเผาวอดจนหมดทั้งเมือง ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากไฟป่าใน 3 รัฐนี้ขึ้นมาอยู่ที่อย่างน้อย 30 ศพแล้ว
แคลิฟอร์เนีย ท่ามกลางสภาพแห้งแล้งรุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปี ทำให้รัฐแคลิฟอร์เนียต้องประสบกับไฟป่าครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคปัจจุบัน (นับตั้งแต่ปีค.ศ.1945-ปัจจุบัน) หลังจากไฟป่าได้อุบัติขึ้นตั้งแต่เดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากฟ้าผ่าเป็น 10,000 ครั้ง จากอิทธิพลของพายุฤดูร้อน ทำให้เมื่อผ่านมาไม่ถึงเดือน ได้เกิดไฟป่ากระจายกว่า 20 จุดในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งในจำนวนนี้ มีไฟป่า 3 จุด ติดอันดับท็อปไฟว์ -5 อันดับไฟป่าขนาดใหญ่ที่สุดตลอดกาลและเมื่อถึง 10 ก.ย.63 ทางการรัฐแคลิฟอร์เนียแจ้งว่า ไฟป่าได้เผาผลาญพื้นที่วอดไปแล้วกว่า 2.3 ล้านเอเคอร์ หรือราว 5.5 ล้านไร่
ชาวอเมริกันในย่านเบย์ แอเรีย ในนครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ต้องตกตะลึง เมื่อเห็นท้องฟ้าในวันที่ 9 ก.ย. 63 แปรเปลี่ยนเป็นสีส้มเต็มโค้งขอบฟ้า อย่างกับสภาพหฤโหดที่เห็นบนดาวอังคาร กระแสลมพากลิ่นควันไฟลอยมาถึง ทั้งที่อยู่ห่างจากบริเวณที่เกิดไฟไหม้ป่ากว่า 300 กิโลเมตร
นักข่าวสายอุตุนิยมวิทยาของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้ท้องฟ้าในซานฟรานซิสโก เปลี่ยนเป็นสีส้ม ไปจนสีแดงเต็มโค้งขอบฟ้าเช่นนี้ ว่า เนื่องจากควันไฟและขี้เถ้าจากไฟไหม้ป่าลอยสะสมหนาขึ้นในบริเวณใกล้กับพื้นที่ที่เกิดไฟป่า จนบดบังแสงพระอาทิตย์ ไม่สามารถสาดส่องลงมาได้อย่างเต็มที่ จนทำให้ราวกับเป็นเวลากลางคืน
Peter Gleick นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศ เขียนข้อความถึงซีเอ็นเอ็นว่า เขาไม่เคยพบเห็นท้องฟ้าทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนียเป็นเช่นนี้มาก่อน เลยนับตั้งแต่ปี 2521 มันเหมือนกับเป็นเวลาเที่ยงคืน ทั้งที่ความจริงคือเวลา 10.15 น.แต่ท้องฟ้าเป็นสีดำ ดำ หรือดำแดง
จากนั้น ก็มีข่าวร้ายจากรัฐโอเรกอน ตามมาว่า กำลังประสบกับวิกฤติไฟป่าครั้งใหญ่เช่นกัน จนทำให้มีประชาชนกว่า 5 แสนคนต้องเร่งอพยพออกจากบ้านเรือนหนีไฟป่าที่กำลังลุกลามมาถึง
เคท บราวน์ ผู้ว่าการหญิงของรัฐโอเรกอน ซึ่งดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ปี 2558 แถลงข่าวด้วยความวิตกกังวลเมื่อวันพฤหัสฯที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่นว่า พวกเราไม่เคยเห็นสถานการณ์ไฟป่าที่ควบคุมไม่ได้เช่นนี้มาก่อนในรัฐโอเรกอน โดยไฟป่าได้ลุกลามเผาผลาญพื้นที่ป่าแล้วเกือบ 900,000 เอเคอร์ หรือ 2.27 ล้านไร่แล้ว ซึ่งมากกว่าพื้นที่ป่าโดยเฉลี่ยที่ได้รับความเสียหายจากไฟป่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ถึง 2 เท่า ทั้งที่ได้เกิดไฟป่าแค่สัปดาห์เดียว
จนถึงเช้าวันที่ 10 ก.ย. เกิดไฟป่าขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น แต่ละจุด ไฟป่าลุกลามกว่า 1 แสนเอเคอร์ หรือ 2.53 แสนไร่ และทีมดับเพลิงสามารถควบคุมได้เพียงแค่ประมาณ 1% เท่านั้น เพราะทั้งกระแสลมรุนแรง และสภาพอากาศที่แปรปรวน ทำให้ไม่มีทางเป็นไปได้ที่ทีมดับเพลิงจะควบคุมไฟป่า และเราคิดว่าความเลวร้ายนี้ คือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (climate change)
ดร.พาร์ก วิลเลียมส์ นักภูมิอากาศวิทยาชีวภาพ ประจำ Lamont-Doherty Earth Observatory ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในสหรัฐอเมริกา ชี้ว่า ขณะที่ สภาพอากาศในแคลิฟอร์เนียได้เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดไฟป่ามาโดยตลอด และสาเหตุของไฟป่ามีความเกี่ยวข้อง ทั้งจากฝีมือของมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ จนแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือสาเหตุทำให้เกิดไฟไหม้ป่าแท้จริงนั้น แต่การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมีความเกี่ยวข้องมากขึ้นเป็นลำดับที่ทำให้เกิดไฟป่า จากอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น และสภาพแห้งแล้ง
ด้านนายเกวิน นิวซอม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งพยายามชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนีย คือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศมาโดยตลอด ได้กล่าวว่า เขาได้หมดความอดทนแล้วกับบรรดาผู้คนที่ปฏิเสธว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้เกิดหายนะขึ้นบนโลก
ผู้เขียน : เวนิส
ที่มา : CNN , BBC , Newyorktimes
Credit เนื้อหาและภาพประกอบ https://www.thairath.co.th/news/foreign/1928005