นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสศก. กล่าวว่า จากการสัมมนากลุ่มย่อยใน 5 สาขา ได้แก่ พืช ปศุสัตว์ ประมง น้ำและการชลประทาน และ ป่าไม้ ซึ่งมุ่งเน้นระดมความคิดเห็นเพื่อวิเคราะห์ปัญหาและแนวทางการปรับตัว เพื่อการกำหนดนโยบายที่เหมาะสมในการรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อภาคการเกษตร สามารถสรุปได้ว่า
ด้านพืช มีผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้ปริมาณฝนตกมากขึ้น ในขณะที่จำนวนวันที่ฝนตกน้อยลง ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม และการใช้ประโยชน์จากน้ำฝนลดลง เกิดการชะล้างพังทลายของหน้าดินเพิ่มขึ้น อุณหภูมิที่สูงขึ้นมีผลต่อการสุก-แก่ของผลไม้ และการระบาดของโรคและแมลง ดังนั้น แนวทางการปรับตัว ได้แก่ การส่งเสริมทำเกษตรแบบผสมผสาน ลดและเลิกการเผา โดยนำเศษวัสดุต่าง ๆ มาใช้ทำปุ๋ยอินทรีย์แทน ต้องมีการวิจัย พัฒนาพันธุ์พืช เช่น พืชที่ทนร้อน การสนับสนุน
เรื่อง Carbon Footprint ติดบนฉลากสินค้า การใช้ระบบเตือนภัยที่มีการพยากรณ์ล่วงหน้า ส่วน ด้านปศุสัตว์ นั้น ผลจากการที่อุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้เกิดโรคใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น การเจริญเติบโตของสัตว์ลดลง และผลผลิตปศุสัตว์ลดลง เกิดผลกระทบต่อการผลิตอาหารสัตว์ เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น อาหารสัตว์แพงขึ้น การลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ มีผลต่อแหล่งอาหารสัตว์ลดลง รวมถึงเกษตรกรไม่สามารถลงทุนด้านเทคโนโลยีใหม่ได้ ดังนั้น แนวทางการปรับตัว ได้แก่ การปรับปรุงพันธุ์สัตว์ โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพ เช่น การผลิตน้ำเชื้อ การฝากถ่ายตัวอ่อน การจัดเก็บเชื้อพันธุ์พื้นเมือง การส่งเสริมงานวิจัยด้านต้นทุน การพัฒนาเทคนิคการจัดการฟาร์ม การฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เกษตรกร รวมถึง การเฝ้าระวังโรคระบาดสัตว์เพื่อเตรียมตัวและแก้ไขปัญหาได้ทันเหตุการณ์
ด้าน ประมง ก็เช่นกันอุณหภูมิที่สูงขึ้น น้ำท่วม ภาวะแห้งแล้ง การสึกกร่อน และการเกิดพายุ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีผลต่อระยะเวลาการวางไข่ของสัตว์น้ำ การระบาดของโรคสัตว์น้ำ เกิดปัญหามลพิษ และผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของปะการัง สำหรับสัตว์น้ำที่เลี้ยงในบ่อหรือกระชังจะเกิดความเครียดเนื่องจากอยู่ในบริเวณจำกัด มีผลโดยตรงต่อผลผลิต ปัญหาน้ำท่วมขังและเน่าเสียมีผลทำให้สัตว์น้ำตาย การรุกล้ำของน้ำเค็มทำให้กุ้งในบ่อเลี้ยงช็อกตาย
ด้าน ทรัพยากรน้ำและชลประทาน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลทำให้เกิดน้ำท่วม ภาวะภัยแล้ง และผลต่อระบบชลประทาน แนวทางการปรับตัวเพื่อรองรับภาวะน้ำท่วม ได้แก่ การพัฒนาแบบจำลองภูมิอากาศและระบบพยากรณ์ล่วงหน้า เพื่อเป็นข้อมูลให้เกษตรกรสามารถเตรียมตัวได้ทัน มีระบบเตือนภัยน้ำท่วมที่เชื่อถือได้ การจัดวางผังเมืองเพื่อการระบายน้ำ การปรับตัวต่อภัยแล้ง ได้แก่ การใช้น้ำให้มีประสิทธิภาพ การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ การพัฒนาพันธุ์พืชที่ใช้น้ำน้อยและทนแล้ง เพิ่มการบริหารจัดการชลประทานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ
สุดท้าย ด้านป่าไม้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีผลกระทบทั้งต่อป่าชายเลนและป่าบก ผลจากน้ำทะเลที่สูงขึ้นและการกัดเซาะชายฝั่ง มีผลต่อสัตว์น้ำวัยอ่อน เนื่องจากพื้นที่ป่าชายเลนเป็นแหล่งอนุบาลวัยอ่อน และมีความอ่อนไหวต่อผลกระทบได้ง่าย การแก้ไขปัญหามีทั้งการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน และการใช้ไม้ไผ่ปักไว้เพื่อชะลอและลดผลกระทบจากคลื่น ลดปริมาณการกัดเซาะชายฝั่ง ผลจากการสัมมนาดังกล่าวจะเป็น
ข้อมูลประกอบในการวิเคราะห์ เสนอแนะแนวทางการปรับตัวและนโยบาย เพื่อรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อภาคเกษตร ซึ่งจะเชื่อมโยงกับการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์เพื่อหารูปแบบโมเดลที่เหมาะสมต่อไป.
ขอขอบคุณที่มา:http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=contentcategoryID=676contentID=158555