สฤณี อาชวานันทกุล http://www.fringer.org นิตยสารสารคดี เดือนกุมภาพันธ์ 2553
หลังจากที่สหภาพยุโรป (อียู) ได้ยุติการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างอาเซียน-อียู และได้ปรับแนวทางมาเป็นการเจรจา FTA กับบางประเทศในอาเซียนแทน และหนึ่งในนั้น ก็คือ ไทย ซึ่งทำให้เกิดคำถามตามมามากมายว่า ไทยควรจะเจรจา FTA กับอียูหรือไม่ ไทยจะได้ประโยชน์อะไร จะเสียประโยชน์อะไร และมีการเตรียมความพร้อมรับมือมากน้อยแค่ไหน นางอัญชนา วิทยาธรรมธัช รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งรับผิดชอบการเจรจา FTA ไทย-อียู ได้เปิดโอกาสให้ “ASTVผู้จัดการรายวัน” สัมภาษณ์เพื่อตอบข้อสงสัยที่เกิดขึ้น
-ทำไมอียูถึงเลิกเจรจาFTAอาเซียน-อียู
การเจรจา FTA อาเซียน-อียู เริ่มมาตั้งแต่ปี 2550 เจรจากันมาหลายครั้ง และพอถึงเดือนมี.ค.2552 ก็ยังไม่มีความคืบหน้า เพราะอาเซียนแตกต่างกัน อีกทั้งอียูก็ไม่ค่อยแฮปปี้กับพม่า หากเดินต่อไปก็ไม่เกิดแน่ อียูเลยเปลี่ยนแนวทางใหม่ ขอเจรจา FTA กับประเทศอาเซียนบางประเทศแทน เสนอมา 3 ประเทศ คือ สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย
-พอรู้อย่างนี้ไทยได้ดำเนินการอย่างไร
เรากลับมาดูตัวเองว่า ถ้าจะเจรจา FTA ไทย-อียู จะทำยังไง จะโดดเจรจาเลยได้หรือไม่ คำตอบ คือ ไม่ได้ เพราะมีมาตรา 190 ของกฎหมายรัฐธรรมนูญค้ำอยู่ ต้องเปิดให้คนมีส่วนร่วม ต้องมีมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ เป็นกระบวนการที่ต้องทำ และเราก็เริ่มทำตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด กล่าวคือ การเปิดเวทีสาธารณะให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมซึ่งตรงนี้เราเคยทำตอนที่เจรจากรอบอาเซียน-อียูมาบ้างแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยาก ก็แค่มาทำต่อให้ครอบคลุม
-รัฐบาลตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลเรื่องนี้
ท่านรัฐมนตรี (นางพรทิวา นาคาศัย) ได้ให้นโยบายว่าจะต้องเปิดให้ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดท่าทีในการเจรจา และได้เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วนในเรื่องการจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป และได้รับความเห็นชอบแล้ว
-คณะกรรมการฯ มีหน้าที่อะไร
หน้าที่หลักๆ ของคณะกรรมการฯ จะต้องกำหนดแนวทางในการรับฟังความคิดเห็น ซึ่งล่าสุดกำหนดมา 3 แนวทาง คือ หนึ่งเปิดกว้างให้ผู้มีส่วนได้เสียทั่วประเทศแสดงความคิดเห็น สองจัดเวทีสาธารณะรับฟังความคิดเห็น และสาม พบปะหารือโดยตรงรายบุคคลและกลุ่มเฉพาะ และยังได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อรับฟังความเห็นจากภาคส่วนต่างๆ 4 คณะ ได้แก่ ภาคประชาสังคม ภาคเกษตร ภาคเอกชน และภาครัฐ ซึ่งเมื่อได้ท่าทีของแต่ละภาคส่วนแล้ว ก็จะสรุปเสนอให้กระทรวงพาณิชย์ และนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี และสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาต่อไป
- จะสรุปเมื่อใดและเป็นอย่างไร
คาดว่าเดือนพ.ค.หรือเดือนมิ.ย.นี้ น่าจะเสร็จ สิ่งที่จะเสนอรัฐบาลก็คงจะบอกว่าไทยควรจะเจรจา FTA ไทย-อียูหรือไม่ เจรจาแล้วได้ประโยชน์อะไร มีผลกระทบอะไร มาตรการเยียวยาเป็นแบบไหน เราจะมีคำตอบในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด แล้วเสนอให้รัฐบาลตัดสินใจว่าจะเจรจาต่อหรือไม่
- เราควรเจรจาFTAกับอียูหรือไม่
ก็อย่างที่บอก ตอนนี้อียูชัดเจนแล้วว่า จะเจรจากับอาเซียน 3 ประเทศ และเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา อียูได้เริ่มต้นเจรจากับสิงคโปร์ไปแล้ว กับเวียดนามก็ไปเจอกันมาแล้ว พร้อมที่จะเริ่มเจรจา แต่กับไทย อียูก็รอว่าเราจะเอายังไง ถ้าเรายังช้า มาเลเซียก็พร้อมจะเข้ามาเสียบแทน อยู่ในภาวะล่อแหลม ไทยต้องมีท่าทีให้ชัดเจน
- มีFTAไทยจะได้ประโยชน์จริงๆ
ก็ต้องบอกว่า ตอนนี้อียูมีสมาชิก 27 ประเทศ เป็นคู่ค้าอันดับ 3 รองจากอาเซียนและญี่ปุ่น เป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 รองจากอาเซียน และอียูกำลังเจรจา FTA กับประเทศในอาเซียน ถ้าไทยไม่ทำ เวียดนามทำ สิงคโปร์ทำ เราเสียเปรียบแน่ ที่สำคัญอียูยังจะทำ FTA กับประเทศที่ 3 เช่น ชิลี เม็กซิโก กลุ่มเมอร์โคซูร์ และกลุ่มประเทศที่เป็นอาณานิคมเดิมซึ่งประเทศเหล่านี้เป็นคู่แข่งของไทย ถ้าไม่ทำ อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าและบริการไทยไปตลาดอียูได้