ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - “ดอยอินทนนท์” เย็นจัด ติดลบ 1 องศาเซลเซียส เกิด “เหมยขาบ” ต่อเนื่อง มีนักท่องเที่ยวแห่ชมไม่ขาด ขณะที่ล่าสุดทางอุทยานฯ ทดลองปั่นน้ำค้างแข็งด้วยการฉีดพ่นละอองน้ำใส่พุ่มไม้ในช่วงรุ่งสาง ส่งผลให้เกิดเป็นหยดน้ำค้างแข็งตามใบไม้ กิ่งไม้ ดูสวยงาม สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้พบเห็นอย่างมาก
รายงานจากจังหวดเชียงใหม่แจ้วงว่า เช้าวันนี้ (11 ม.ค.) ที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ยังคงคึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าเที่ยวชมความสวยงามตามธรรมชาติและสัมผัสอากาศหนาว โดยสภาพอากาศที่หนาวเย็นต่อเนื่องที่ยอดดอยอินทนนท์ วัดอุณหภูมิได้ 0 องศาเซลเซียส และที่กิ่วแม่ปาน วัดอุณหภูมิได้ -1 องศาเซลเซียส ส่งผลให้เช้าวันนี้เกิดปรากฏการณ์น้ำค้างแข็ง หรือเหมยขาบ ขึ้นอีกเป็นบริเวณกว้าง ทั้งบริเวณกิ่วแม่ปาน และบริเวณยอดดอย สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่พบเห็นเป็นอย่างมาก
นายพรเทพ เจริญสืบสกุล หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เปิดเผยว่า เนื่องจากสภาพอากาศบนพื้นที่อุทยานฯ ที่หนาวเย็นในขณะนี้ส่งผลให้มีการเกิดปรากฏการณ์เหมยขาบ หรือน้ำค้างแข็งบนยอดหญ้าอย่างต่อเนื่องเกือบทุกวัน ทำให้นักท่องเที่ยวที่ทราบข่าวเดินทางขึ้นมาท่องเที่ยวกันเป็นจำนวนมากต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเทศกาลปีใหม่ จนขณะนี้บ้านพักของอุทยานถูกจองเต็ม แต่ยังมีพื้นที่เหลือสำหรับการกางเต็นท์พักแรม
ทั้งนี้ จากสภาพอากาศที่หนาวเย็นจัดและต่อเนื่อง ทางอุทยานฯ จึงได้ทดลองทำการเปิดสปริงเกอร์ฉีดพ่นน้ำใส่ตามพุ่มไม้และยอดหญ้าในช่วงรุ่งเช้า หรือการปั่นน้ำค้างแข็ง ที่บริเวณกิ่วแม่ปาน ซึ่งเมื่อหยดน้ำที่กำลังไหลย้อยสัมผัสกับอากาศหนาวเย็นจัดในสภาวะปัจจัยต่างๆ ที่เหมาะสม ทั้งความหนาวเย็นของอากาศ ความชื้น และสภาพลม จึงจะเกิดปรากฏการณ์น้ำค้างแข็งเป็นหยด โดยวันนี้ประสบความสำเร็จในการทดลอง ทำให้นักท่องเที่ยวต่างตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้พบเห็น ซึ่งจะมีการทดลองทำอีกหากสภาพอากาศเหมาะสม
สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น รายงานแจ้งว่ามีจำนวนมากว่าหมื่นคน โดยวานนี้ (10 ม.ค. 59) มีทั้งสิ้น 7,830 คน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 7,280 คน และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 550 คน มียานพาหนะที่เดินทางขึ้นมาแบ่งเป็นจักรยานยนต์ จำนวน 250 คัน และรถยนต์จำนวน 1,500 คัน
Credit : http://manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9590000003230