เศรษฐกิจพอเพียง มีบทบาทต่อการกำหนดทิศทางในการพัฒนาประเทศ นักวิชาการจำนวนไม่น้อย ที่ได้ออกมาร่วมกันแสดงความเห็นด้วย โดยเชื่อมโยงปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับวัฒนธรรมชุมชน ช่วยให้แนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ได้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในสังคมไทย ในเวลาต่อมา ขณะเดียวกันการระดมความคิด การสร้างเครือข่ายและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากผู้ที่น้อมนำปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติใช้ในภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคธุรกิจ จึงเป็นแนวทางสำคัญ
ในการขับเคลื่อน ต่อยอดขยายผลองค์ความรู้จากปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อ การปฏิบัติในภาคธุรกิจให้กับสังคมไทยได้อย่างเข้าใจมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญภาคธุรกิจเอกชนนับเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ฉะนั้นหากภาคธุรกิจของประเทศไทยได้ดำเนินการตามหลักการโดยมีภูมิคุ้มกัน ขยายธุรกิจอย่างระมัดระวังบนพื้นฐานของความพอเหมาะพอสม ก็จะสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างสมดุลและยั่งยืน
ดังคำกล่าวของ นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ครั้งไปบรรยายพิเศษให้กับผู้ประกอบการภาคธุรกิจเอกชน เกี่ยวกับการใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในภาคธุรกิจ จัดโดยสำนักงาน กปร. เมื่อวันก่อนว่า
“การน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการ ธุรกิจ โดยรู้จักนำหลักความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล การรู้จักสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ในเชิงธุรกิจจะใช้คำว่าการบริหารความเสี่ยง การมีความรู้คู่คุณธรรม นับเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารธุรกิจ เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถอยู่ได้ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจ การเมือง วิกฤติจากภัยธรรมชาติ ซึ่งใน 3-4 ปีที่ผ่านมา มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นในประเทศของเรา รวมถึงในโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภัยธรรมชาติ สภาพดินฟ้าอากาศ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้หากได้เตรียมการให้พร้อม และดำเนินธุรกิจด้วยความมีเหตุมีผล พอประมาณ บริหารความเสี่ยงด้วยความรอบคอบแล้ว มั่นใจได้ว่าจะมีภูมิต้านทาน ให้กับธุรกิจ และนำไปสู่การพัฒนาระบบ การรู้จักความพอประมาณ ในการทำธุรกิจการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท การทำอะไรไม่เกินตัว การรู้จักประมาณตน คือ การรู้ต้นทุน รู้จักการวางแผน การผลิต การขาย การตลาด อย่างพอประมาณ อย่างพอเพียง และไม่ประมาท ซึ่งเป็นหลักการบริหารธุรกิจระบบสมัยใหม่ คือการบริหารความเสี่ยง ซึ่งเป็นหลักการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานไว้ เชื่อว่าหลักการนี้จะทำให้ธุรกิจ ทั้งใหญ่ กลาง เล็ก สามารถรอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจได้ เนื่องจากตั้งมั่นอยู่ในความไม่ประมาท ทำให้สามารถรอดพ้นจากวิกฤติต่าง ๆ ได้”
การจัดสัมมนาในครั้งนี้ เป็นการมุ่งเน้นด้านภาคธุรกิจ ในระดับผู้บริหาร ผู้ประกอบการ เจ้าของร้านค้า ซึ่งมีกิจการทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดย่อม และจากธุรกิจที่หลากหลายประเภท ถึงแม้ว่าผู้เข้าร่วมสัมมนาจะมาจากที่ต่างกัน แต่จะได้แนวคิดใหม่ ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการนำไปใช้ปฏิบัติในภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจได้ อย่างรู้เท่าทัน
“ในปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา นับว่าเป็นวาระอันเป็นมงคลยิ่ง ที่พวกเราจะน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้พระราชทานพระราชดำริปรัชญาอันทรงคุณค่านี้ แก่พวกเราชาวไทยทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ ได้ช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง ให้สามารถนำมาซึ่งการพัฒนาเศรษฐกิจไทยได้อย่างยั่งยืน” นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรีกล่าว เศรษฐกิจพอเพียงเปนปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด นานเกือบ 40 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงย้ำแนวทางการแก้ไข เพื่อให้รอดพ้นและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ.
This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
ขอบคุณข้อมูล: http://www.dailynews.co.th/