แม้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ หรือ กยน.จะออกมาเปิดเผยแผนที่แนวฟลัดเวย์ไปแล้ว แต่ในส่วนกรุงเทพมหานคร กลับมองว่า การกำหนดแนวฟลัดเวย์ของกยน.นั้นเป็นการฝืนธรรมชาติ และผิดหลักด้านวิศวกรรม จึงเสนอให้ทบทวน และแก้ไข พร้อมแนะให้ปรับปรุงแนวฟลัดเวย์ฝั่งตะวันออก เชื่อมระบบระบายน้ำคลองหลักที่มีอยู่เดิมให้เกิดประสิทธิภาพ
เมื่อนำแผนที่แนวฟลัดเวย์ของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ หรือ กยน.บริเวณสีน้ำเงินลายขวางมีลูกศรบอกทิศทางการไหลของน้ำ มาเปรียบเทียบกับแผนที่ภูมิประเทศจะเห็นว่าพื้นที่ฟลัดเวย์ฝั่งตะวันออก จะเป็นพื้นที่เขาใหญ่ ซึ่งหากมองตามหลักธรรมชาติแล้ว น้ำไม่สามารถกระโดดข้ามภูเขาลงมาสู่ด้านล่างได้
การใช้แนวเส้นแบ่งเขตพื้นที่ปกครองในจังหวัดลพบุรี และสระบุรี บริเวณตอนเหนือคลองระพีพัฒน์ ในการกำหนดแนวฟลัดเวย์ โดยไม่คำนึงถึงหลักวิศวกรรมที่ต้องอาศัยแผนที่ภูมิประเทศมาประกอบ นอกจากจะไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหาที่ถูกต้องแล้ว ยังเป็นปัญหาต่อการระบายน้ำ และอาจทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำรอยในพื้นที่ตอนล่างอย่างจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และกรุงเทพมหานคร
จึงต้องถอดบทเรียนน้ำท่วมปีที่ผ่านมา เพื่อวางบรรทัดฐานในการบริหารจัดการน้ำแบบใหม่ ซึ่ง ดร. ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เสนอว่า กนย. ควรพัฒนาแนวฟลัดเวย์เดิมให้เกิดประสิทธิภาพ โดยในพื้นที่ฝั่งตะวันออก ควรปล่อยให้ระบบคลองที่มีอยู่ ทำหน้าที่เป็นฟลัดเวย์ เพื่อเร่งระบายน้ำออกสู่ทะเล
ส่วนการทำฟลัดเวย์ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาจะกระทบต่อการระบายน้ำ เพราะพื้นที่ลาดเอียงต่ำ อาจทำให้น้ำไหลเข้า กทม. และมีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงขวางทางน้ำไหล ประกอบกับคลองทวีวัฒนาที่มีความยาวบรรจบกับคลองภาษีเจริญ ไม่เชื่อมต่อไปยังพื้นที่แก้มลิง ซึ่ง กยน.ต้องพัฒนาแก้มลิงกว่า 76 ตารางกิโลเมตร ควบคู่กับการขุดลอกคลอง ท่อระบายน้ำ และติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำตั้งแต่เส้นทางเข้าสู่แก้มลิง ย้อนขึ้นเหนือจากสมุทรสาคร นครปฐม นนทบุรี และปทุมธานี เพื่อให้ปลายน้ำ สามารถเร่งระบายน้ำออกสู่ทะเล เป็นการผ่อนภาระของแม่น้ำท่าจีน
นอกจากนี้ ยังเสนอให้วิศวกรจำลองแผนที่ Topographic Map แล้วทำการจำลอง Simulation ว่าน้ำไหลอย่างไร หากมีระบบคลองและสถานีสูบน้ำรองรับ โดยจะยอมให้ท่วมในพื้นที่ใด ปริมาณ ระยะเวลาเท่าใด ก่อนแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบล่วงหน้า และควรกำหนดมาตรการชดเชยเฉพาะในช่วงวิกฤติน้ำมาก หรือ เยียวยาในกรณีน้ำแล้งด้วย
ขอขอบคุณ http://news.thaipbs.or.th