ครอบครัวน้องต้นไม้ และชาวบ้านบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ บุกร้องสภาทนายความฯ เพื่อยื่นฟ้องคดีกับกรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้รับผิดชอบความเสียหาย กรณีไม่แจ้งเตือนโคลนถล่ม เข้าข่ายความผิดทาง "ละเมิด"
เมื่อวันที่ 16 ก.พ. ที่สภาทนายความฯ ถนนพหลโยธิน นายอาคม สมหวัง และ น.ส.จันทร์เพ็ญ หมวดเพชร บิดาและมารดาของ ด.ญ.พชรธรณ์ สมหวัง หรือน้องต้นไม้ วัย 5 ขวบ ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์น้ำท่วม อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา พร้อมด้วย นางจินตนา แก้วขาว และตัวแทนชาวบ้าน ต.ธงไชย อ.บางสะพาน ได้เดินทางมายื่นหนังสือขอความช่วยเหลือทางกฎหมาย เพื่อจะยื่นฟ้องคดีกับกรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น เนื่องจากไม่แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับอุทกภัยให้ประชาชนรับทราบล่วงหน้า รวมทั้งให้มีการแก้ไขปรับปรุงการดำเนินการ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก โดยส่วนของ ต.ธงไชย ได้รับผลกระทบจากถูกน้ำและดินโคลนไหลเข้าท่วมตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค.ที่ผ่านมา มีระดับความสูง 2 เมตร ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง และมีข้อสังเกตว่าขณะเกิดเหตุดินโคลนไหลท่วม อ่างเก็บน้ำไม่สามารถป้องกันหรือกักเก็บน้ำที่ไหลมาจากเทือกเขาตะนาวศรีได้ และทำให้น้ำไหลท่วมพื้นที่บ้านกรูด ขณะที่ ว่าที่ ร.ต.ถวัลย์ รุยาพร นายกสภาทนายความฯ และคณะทำงาน ได้รับหนังสือดังกล่าวไว้พิจารณา
ด้าน ว่าที่ ร.ต.ถวัลย์ นายกสภาทนายความฯ เปิดเผยว่า กรณีนี้อาจเข้าข่ายการกระทำละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 หรือ เป็นการละเมิดตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 5 หรือ อาจเป็นการละเมิดทางปกครอง ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 9 (3) ซึ่งจะต้องพิสูจน์ว่าหน่วยงานรัฐหรือเจ้าหน้าที่ได้กระทำการประมาทเลินเล่อ หรือละเลยหรือไม่ ในการที่จะต้องคอยดูระดับน้ำ ซึ่งหากจะต้องฟ้องคดีแล้วในการพิจารณาก็ต้องขอให้ศาลหมายเรียกเจ้าหน้าที่มาให้การ ขณะที่การจะฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งนั้น ก็อาจจะเรียกร้องเป็นค่าเสียหายทางจิตใจให้กับครอบครัวที่สูญเสียบุตรในวัย 5 ขวบ ซึ่งสภาทนายความฯ ก็จะพิจารณาให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายต่อไป
เนื้อหาและภาพประกอบ : http://www.dailynews.co.th/regional/556067