สถานการณ์ภัยหนาวในยุโรปยังน่าวิตก ล่าสุดยอดผู้เสียชีวิตจากความหนาวเย็นพุ่งสูงถึง 400 คน ขณะที่ประเทศบัลแกเรียวิกฤตหนักเจอทั้งหิมะ และน้ำท่วม
สถานการณ์ภัยหนาวในยุโรปยังน่าวิตก ล่าสุดยอดผู้เสียชีวิตจากความหนาวเย็นในช่วง 11 วันที่ผ่านมานับตั้งแต่คลื่นความเย็นแผ่ปกคลุมเพิ่มสูงถึง 400 คนแล้ว ขณะที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยาเตือนว่าสภาพอากาศยังไม่มีทีท่าว่าจะคลายความรุนแรง และเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวจัด ทำให้แม่น้ำดานูบซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำสายสำคัญของทวีปยุโรปกลายสภาพเป็นน้ำแข็งเป็นระยะทางยาวถึง 170 กิโลเมตร ส่งผลให้ประเทศเซอร์เบียต้องขอเรือตัดน้ำแข็งจากปะเทศฮังการีเข้ามาเปิดทางน้ำในแม่น้ำดานูบ เพื่อให้เรือสามารถสัญจรผ่านไปได้
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ามีประชาชนถึง 70,000 คนติดหิมะอยู่ในหมู่บ้านหลายแห่งทางภาคใต้ของประเทศเซอร์เบีย ขณะที่ความช่วยเหลือยังเข้าไปไม่ถึง ด้านประเทศบอสเนีย หลายพื้นที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
ประเทศยูเครน ยังคงเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากวิกฤตภัยหนาว จนถึงปัจจุบันนี้มีผู้เสียชีวิตจากความหนาวเย็นไปแล้วถึง 136 คน ส่วนประเทศโปแลนด์ ยอดผู้เสียชีวิตจากภัยหนาวเพิ่มเป็น 68 คน สำหรับพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็นที่สุดได้แก่ เขตเควิลดา (Kvilda) ของสาธารณรัฐเชค อุณหภูมิดิ่งลงไปติดลบถึง 39.4 องศาเซลเซียส
ทางด้านประเทศฝรั่งเศส ยอดการใช้กระแสไฟฟ้าเพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้เครื่องทำความร้อน หรือ ฮีตเตอร์เพื่อคลายความหนาว ขณะที่แม่น้ำลำคลองหลายสายกลายสภาพเป็นน้ำแข็งจากอุณหภูมิที่ติดลบ 15 องศาเซลเซียส
ส่วนสภาพทะเลสาบเจนีวา ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พื้นที่ชายฝั่งปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็งจากอุณหภูมิที่ลดต่ำติดลบ 10 องศาเซลเซียส ขณะที่คืนวันที่ 4-5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็นวันที่หนาวที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ แม้จะไม่ทำลายสถิติ แต่อุณหภูมิก็ดิ่งลงไปต่ำกว่าลบ 25 องศาเซลเซียส
ประเทศบัลแกเรีย เป็นอีกประเทศที่สถานการณ์เลวร้ายหนัก เจอทั้งหิมะตกหนัก และน้ำท่วมจากเขื่อนแตก หลังมีฝนตก และหิมะละลายตัว ทำให้น้ำในเขื่อนเพิ่มสูงจนพนังเขื่อนพัง น้ำไหลบ่าเข้าท่วมหมู่บ้านไบเซอร์ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 9 คน ขณะที่มีรายงานว่าเขื่อนอีกสองแห่งอยู่ในภาวะเสี่ยง ทางการต้องประกาศเตือนภัยในระดับสีส้ม หลังมีความเป็นไปได้ว่าเขื่อนอาจพัง
ล่าสุดหน่วยงานด้านสภาพอากาศของสหประชาชาติรายงานว่าอุณหภูมิในยุโรปจะลดต่ำไปจนถึงเดือนมีนาคม
ขอขอบคุณ http://news.thaipbs.or.t