ต้นโกงกางที่อยู่ตามแนวชายฝั่งทางเหนือของออสเตรเลียล้มตายเป็นพื้นที่มากกว่า 7,000 เอเคอร์ ภายในระยะเวลาเพียงเดือนเดียว ตอกย้ำความรุนแรงของภาวะโลกร้อนบนโลก
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ว่าศ.นอร์แมน ดุ๊ก นักนิเวศวิทยาซึ่งเชี่ยวชาญเฉพาะทางในเรื่องป่าชายเลน จากมหาวิทยาลัยเจม์ส คุก ในออสเตรเลีย เผยแพร่ชุดภาพถ่ายความเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศป่าชายเลนบริเวณอ่าวคาร์เพนทาเรีย ทางตอนเหนือของประเทศ ว่าพรรณไม้ในพื้นที่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้โกงกางล้มตายเป็นจำนวนมาก ภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือนคิดเป็นพื้นที่มากกว่า 7,000 เอเคอร์ ทอดยาวตลอดแนวชายฝั่งเป็นระยะทาง 700 กิโลเมตร เทียบเท่าระยะทางด้วยรถยนต์จากนครซิดนีย์สู่เมืองเมลเบิร์น
ทั้งนี้ รูปแบบการตายของต้นไม้เป็นลักษณะแบบ "ดาย-แบ็ค" ( die-back ) ที่เป็นลักษณะอาการตายของพืชที่เริ่มจากปลายยอด ปลายกิ่งหรือปลายก้าน โดยสาเหตุของการเกิดภาวะดังกล่าวมักเป้นผลจากการที่พรรคณไม้อยู่ท่ามกลางสภาพอากาศแห้งแล้งจัดเป็นเวลายาวนานติดต่อกัน ซึ่งฤดูแล้งของออสเตรเลียในปีนี้กินเวลายาวนานกว่าปกติ อันเนื่องมาจากปรากฏการณ์เอล-นีโญซึ่งมีความรุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ แม้ต้นโกงกางส่วนหนึ่งยังไม้ตายทันที แต่การสูญเสียใบและกิ่งในลักษณะดาย-แบ็ค ยากที่ต้นไม้จะสามารถฟื้นฟูตัวเองให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นการตอกย้ำความรุนแรงเข้าขั้นวิกฤติของภาวะโลกร้อนบนโลก โดยนอกเหนือจากกณีการตายของต้นโกงกางจำนวนมากแล้ว "เกรตแบร์ริเออร์รีฟ" ซึ่งเป็นแนวปะการังขนาดใหญ่และยาวที่สุดในโลกที่ทอดตัวอยู่ตามแนวชายฝั่งทางตะวันออกของออสเตรเลีย และเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ กำลังประสบกับภาวะฟอกขาวขั้นรุนแรง อันเนื่องจากมาจากวิกฤติโลกร้อนเช่นกัน
อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/foreign/508280